หลอดไฟ led คือ ? ดีอย่างไร ทำไมถึงลดค่าใช้จ่ายได้มากมาย
แล้ว ซึ่งหลอดไฟในยุคแรกตัวไส้นั้นทำจากคาร์บอน และต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็น ไส้ทังสเตน ที่เรายังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งข้อเสียของหลอดไส้นั้นมีมากมาย ทั้งเรื่องอายุการใช้งานที่สั้น และสิ้นเปลือง มากกว่า หลอดไฟ LED ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ หลอดไฟ led คือ อะไร ทำไมถึงต้องใช้กัน
หลอดไฟ led คือ อะไร?
ย้อนกลับไปสมัยที่ LED ได้ถือกำเนิดครั้งแรกในปี ค.ศ. 1962 หรือเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว โดย Nick Holonyak Jr. ได้คิดค้น LED แสงสีแดงขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นหลอดไฟ LED สำหรับแสงสถานะ (LED Indicator light) สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ LED ในยุคแรกนั้นยังไม่สามารถนำมาผลิตเป็นหลอดไฟแสงสว่างได้ เนื่องจากหลอดไฟ LED สีแดงนั้นมีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างต่ำและไม่ทนต่อสภาพแวดล้อม
หลังจากที่ LED ได้ถือกำเนิดขึ้นมากว่า 33 ปี และถูกใช้เป็นเพียงไฟแสดงสถานะ ทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำทีมโดย Shiji Nakamura จากบริษัท Nichia ได้คิดค้น LED แสงสีฟ้า (LED Blue Light) ขึ้นเมื่อปี 1995 ซึ่งการคิดค้นในครั้งนี้เป็นการผลิต LED จากผลึกของสาร Gallium Nitride (GaN) และนับว่าเป็นการปฎิวัติวงการ LED ไปอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจาก LED แสงสีฟ้านี้มีประสิทธิภาพสูงจนสามารถนำ LED มาใช้เป็นต้นกำเนิดของไฟแสงสว่างได้ รวมถึงมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าหลอดไฟรุ่นเก่า ๆ มาก โดย Shiji Nakamura และทีม ได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ ในปี 2014 สำหรับการคิดค้น LED แสงสีฟ้านี้ขึ้นมา
หลอด LED ไดโอดเปล่งแสง (light-emitting diode) เรียกย่อ ๆ ว่า LED คือ สารกึ่งตัวนำไฟฟ้า ที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วปล่อยแสงสว่างออกมาได้ทันที ทั้งนี้หลอด LED ที่เราคุ้นตา จะเป็นหลอดไฟขนาดเล็กหลากสีสัน เช่น สีแดง สีน้ำเงิน เป็นต้น เนื่องจากขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาใช้ แต่ต่อมามีการปรับแก้ด้วยการนำหลอด LED สีน้ำเงินไปเคลือบเรืองแสงสีเหลือง จึงทำให้แสงจากหลอด LED ส่องออกมาเป็นสีขาว และสามารถใช้เป็นหลอดไฟส่องสว่างได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น โดยหลอด LED นั้นมีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างดีกว่าหลอดไฟขนาดเล็กทั่วๆ ไป
ข้อดีของ หลอดไฟ LED คือ
- ทนทานต่อการใช้งานมากเป็นพิเศษ แอลอีดีที่มีคุณภาพสูง มีอายุการใช้งานได้ยาวนานถึงประมาณ 10-20 ปี
- อัตราการกินไฟต่ำมากเป็นพิเศษ แต่ได้ค่าความสว่างเท่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอดทังสเตน(หลอดใส้) ซึ่งช่วยประหยัดไฟในระยะยาว
- ไม่มีก๊าซพิษร้ายแรงเพื่อทำปฏิกิริยาทางไฟฟ้า และไม่มีส่วนประกอบของกระจก ปลอดภัยแม้ทำแตก หัก เสียหาย
- มีความร้อนค่อนข้างต่ำมากเป็นพิเศษ จึงไม่ทำให้ห้องและสภาพแวดล้อมนั้นเกิดความร้อนจากแสงไฟ ช่วยลดภาระของแอร์ในการทำความเย็นลงได้ ซึ่งเท่ากับประหยัดไฟไปได้อีกต่อหนึ่ง
- ไม่ต้องพึ่งพาบัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์ในการติดตั้งใช้งาน แอลอีดีแบบใช้งานในบ้านส่วนมากสามารถต่อกับไฟบ้านได้โดยตรง ไม่มีการกระพริบ ไฟติดทันทีที่เปิด ซึ่งการไม่ใช้ทั้ง บัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์ ทำไมหลอดไฟ LED ถึงประหยัดไฟมากกว่าหลอดไฟชนิดอื่นๆ
- ไดโอดเปล่งแสงมีขนาดเล็กทำให้สามารถนำไปประกอบให้มีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปได้ตามการใช้งาน
ข้อเสียของ หลอดไฟ LED
- ราคาต่อชิ้นค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์ และหลอดทังสเตน (หลอดไส้)
- LED ส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้กับสวิตซ์หรี่แสง (Dimmer Switch) ได้
เลือกหลอดไฟ LED ต้องดูอะไรบ้าง?
ยิ่งสว่าง แต่จริง ๆ แล้ววัตต์เป็นหน่วยของพลังงานที่ใช้ ยิ่งมากแปลว่ายิ่งกินไฟ การที่เราจะเลือกหลอดไฟมาใช้มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราต้องนำมาพิจารณาอยู่หลายตัวด้วยกัน
- ค่าพลังงาน : มีหน่วยเป็นวัตต์ที่เราเห็นบนกล่องหลอดไฟ เป็นค่าพลังงานที่ใช้ ยิ่งวัตต์สูง ยิ่งทำให้ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย
- ค่าฟลักซ์แสงสว่าง : มีหน่วยเป็น ลูเมน (Lumen) เป็นหน่วยวัดความสว่างของแสงที่เปล่งออกมา ยิ่งมากแสดงว่าหลอดไฟดวงนี้ให้แสงสว่างมาก
- ค่าประสิทธิภาพ : หรือเรียกว่า Efficacy เป็นการนำค่าแสงสว่าง (ลูเมน) มาหารด้วยค่าพลังงาน (วัตต์) ค่าที่ออกมา แปลได้ว่า หลอดไฟหลอดนี้ใช้พลังงาน 1 วัตต์ ให้แสงสว่างกี่ลูเมน ยิ่งสูงแปลว่า 1 วัตต์ให้แสงสว่างเยอะ ทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
คุณจะเห็นภาพรวมของหลอดไฟ LED คือ อะไรถึงดีกว่าหลอดไฟประเภทอื่นๆ อย่างไร ทำไมธุรกิจ หรือครัวเรือนถึงต้องหันมาใช้หลอด LED กัน แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แต่หากพูดถึงด้านประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า หลอดไฟ LED กินขาดอย่างแน่นอน
Social